5 กันยายน 2568
การลงนามความตกลงในการส่งออกข้าวฟ่างระหว่างบราซิลกับจีน ซึ่งคาดว่าจะสามารถส่งออกไปจีนได้ภายในปี 2569 นั้น จะช่วยส่งเสริมภาคธุรกิจธัญพืชของบราซิล โดยข้าวฟ่างเป็นธัญพืชที่มีการปลูกมากเป็นอันดับ 5 ของโลก และได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเนื่องจากความหลากหลายในการใช้งานทั้งในบราซิลและต่างประเทศ ตลาดภายในประเทศพืชชนิดนี้มีความโดดเด่นในเรื่องความสามารถในการปรับตัวให้เข้า
กับสภาพอากาศที่อบอุ่น ใช้น้ำน้อยในการผลิต และเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพและสร้างกำไรสำหรับ
การเก็บเกี่ยวครั้งที่สอง (safrinha) ในอดีตข้าวฟ่างที่ผลิตได้ในบราซิลทั้งหมด ได้นำไปใช้บริโภคภายในประเทศ และใช้เป็นอาหารสัตว์ แต่เมื่อไม่นานมานี้ ได้นำไปใช้ผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพ เช่น เอทานอล
จากข้อมูลจากกระทรวงเกษตรสหรัฐอเมริกา (USDA) ระบุว่า จีนอาจต้องการข้าวฟ่างจากตลาดโลกมากถึง 7.9 ล้านตัน หรือคิดเป็นประมาณ 81% ของการนำเข้าทั้งหมดของโลกซึ่งตอกย้ำถึงความสำคัญของข้อตกลงนี้และปริมาณความต้องการของจีน
ปัจจุบันสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ส่งออกข้าวฟ่างรายใหญ่ที่สุดของโลก ด้วยปริมาณ 5.4 ล้านตัน
รองลงมาคือออสเตรเลีย 2.6 ล้านตัน และอาร์เจนตินา 1.4 ล้านตัน ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากภูมิรัฐศาสตร์
ในปัจจุบันและความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ทำให้เกิดช่องว่างในการเปลี่ยนแปลงพลวัตของตลาด
นำเข้า-ส่งออก รวมถึงการลดลงของพื้นที่ปลูกข้าวฟ่างในสหรัฐอเมริกาในปี 2568/2569 ซึ่งอาจสร้างโอกาสให้กับประเทศอื่นๆ รวมถึงบราซิล
ตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นไปการเก็บเกี่ยวรอบที่สอง จะมีช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการปลูกข้าวโพดและอีกช่วงเวลาหนึ่งสำหรับข้าวฟ่าง ซึ่งช่วยให้พืชทั้งสองชนิดสามารถเสริม
ซึ่งกันและกันในวงจรการผลิต โดยข้าวฟ่างจะเป็นทางเลือกที่ดีเยี่ยมแทนข้าวโพด ซึ่งจะช่วยกระจายผลผลิตและเพิ่มผลกำไร และเมื่อสิ้นสุดช่วงเวลาเพาะปลูกสำหรับการเก็บเกี่ยวรอบที่สอง ข้าวฟ่างจะให้
ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าข้าวโพด เนื่องจากให้ผลผลิตสูงแต่ใช้น้ำน้อย
ชนิดสินค้า : สินค้าพืชอื่น ๆ
ประเภทของข่าว : สถานการณ์การค้า
ที่มา : datamar News